สรุปสภาวะเศรษฐกิจไทย
ภาพรวมปี 2556
เริ่มตั้งแต่ต้นปี หากยังจำกันได้ค่าเงินบาทอยู่ในช่วง
30 - 30.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และจากนโยบาย Quantitative Easing หรือ QE
จากประเทศสหรัฐอเมริกาที่ออกมาเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2555 และด้วยความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างสหรัฐอเมริกากับภูมิภาคอื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทำให้นักลงทุนหันมาสนใจนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้นคึกคัก เริ่มต้นไตรมาสถัดไป
ตลาดหุ้นพุ่งทะยานไปแตะ 1,630 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายปี อย่างไรก็ตาม
จากการที่เงินดอลลาร์มีปริมาณมากขึ้น ทำให้เกิดผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน
ทำให้ยิ่งแข็งค่าเข้าไปใหญ่หลุด 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปัญหาบาทแข็งนี้เองได้สร้างความตึงเครียดให้กับภาครัฐบาลผ่านรมว.คลัง
มีความพยายามที่จะให้ กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อลดผลตอบแทนในตลาดทุนของประเทศไทย
แต่ดูเหมือนว่าความพยายามไม่เป็นผล กนง.ไม่ลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนไม่ได้เกิดขึ้น
ณ วันที่ค่าเงินอ่อนลง ต้องทำความเข้าใจว่าเมื่อค่าเงินบาทแข็งจะทำให้สินค้าและบริการของประเทศเราที่ส่งออกไปมีราคาแพงขึ้นในมุมมองของชาวต่างชาติ
หรือผู้ซื้อต่างชาติจะต้องใช้จำนวนดอลลาร์ที่มากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าที่มีป้ายราคาเท่าเดิม
ในทางกลับกัน เงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้สินค้านำเข้ามีราคาถูก
ติดฉลากมาราคาเป็นดอลลาร์แต่เราใช้เงินน้อยลงในการซื้อ ทั้งนี้
สำหรับภาคธุรกิจขนาดกลางขึ้นไป คำสั่งซื้อจำเป็นต้องเกิดขึ้นล่วงหน้า
เพราะฉะนั้นหากเราดูยอดส่งออก ณ เดือนที่อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่า
จะไม่พบผลกระทบใดใดเนื่องจากคำสั่งซื้อ ณ
ปัจจุบันได้ถูกสั่งไว้เมื่อหลายเดือนหรือสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าในอีก
2- 3 เดือนข้างหน้า หรือช่วงไตรมาสที่สาม ประเทศไทยน่าจะมีปัญหาการส่งออก
ซึ่งในท้ายไตรมาส กนง. มีมติลดอัตราดอกเบี้ยลงจาก 2.75% มาอยู่ที่ 2.5
% ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับนักวิชาการเนื่องมาจาก
กนง. คงอัตราดอกเบี้ยมานานซึ่งนับว่าเป็นนโยบายการเงินครั้งแรกในรอบปี
ในไตรมาสที่สาม
ดูเหมือนว่าผลของการลดอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างใช้ได้ผล มีการดึงเงินกลับบ้างบางส่วน
ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนลงไปแตะระดับ 30 อีกครั้ง ตลาดหุ้นเริ่มลดลงมาอยู่ช่วง 1500 อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม
ผลของอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าเริ่มส่อเค้า ยอดส่งออกติดลบในเดือนสิงหาคม กันยายน
และตุลาคม และมาถึงช่วงเดือนพฤศจิกายน ค่าเงินบาทยังคงทรงตัวในช่วง 30 - 31
บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่เดือนพฤศจิกายน ยอดส่งออกลดลง 4% ส่งผลให้ทั้งปีติดลบ 0.49% และส่งออกข้าวติดลบ
5.4% โดยกนง. ได้ใช้มาตรการทางการเงินอีกครั้ง
ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 2.25% หวังขยายสินเชื่อครัวเรือนและการลงทุน
แต่อย่าลืมว่านั่นหมายถึงการลดผลตอบแทนของการมาลงทุนด้วย และมาถึงเดือนสุดท้ายของปี
วันที่ 20 ธันวาคม ประธานเฟดแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศชะลอ QE จากตัวเลขดัชนีชี้วัดหลักทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่ค่อยๆดีขึ้น
ทั้งสภาวะการว่างงาน รวมถึงการผลิต และเมื่อมีการชะลอ QE ตลาดทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับผลกระทบอย่างมากจากการดึงเงินดอลลาร์กลับประเทศ
ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนมาอยู่ที่ 32.8 เกือบแตะ 33 ปิดท้ายปี
นอกจากนั้นนักลงทุนยังคงเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปิดท้ายปีหลุด 1,300
เป็นที่เรียบร้อย เรียกได้ว่าแดงกันยกแผง
สำหรับสภาวะเศรษฐกิจในวงการอื่น
ประกอบด้วย ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ถีบตัวขึ้นอย่างมากในปี 2556 โดยเฉพาะยิ่งตามหัวเมืองต่างๆ
เช่น จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น นอกจากนั้นจากสภาวะสินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น
ก่อให้เกิดความกังวลในเรื่องของฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ในปีหน้าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจับตามอง
นอกจากนั้นมนุษย์เงินเดือนยังคงได้เฮจากการที่สรรพากรประกาศปรับอัตราภาษีใหม่จากเดิม
5 ขั้นเป็น 6 ขั้น ทำให้ประชาชนบางกลุ่มเสียภาษีในอัตราที่ลดลง
อย่างไรก็ตามได้มีแนวคิดที่จะทบทวนภาษีสำหรับโรงพยาบาล และเก็บภาษีกวดวิชา
รวมไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับภาคส่งออกยังคงมีข่าวดีอยู่บ้างจากการที่ทางญี่ปุ่นได้ประกาศยกเลิกการแบนไก่จากประเทศไทยมีผลในปีหน้าซึ่งจะทำให้ธุรกิจฟาร์มสัตว์ปีกกลับมาคึกคักอีกครั้ง
และแน่นอนว่าธุรกิจอาหารสัตว์จะได้รับผลกระทบเชิงบวกด้วย
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นโครงการรับจำนำข้าวที่เสียงสะท้อนจากนักวิชาการหลายสำนักออกมาเป็นทิศทางเดียวกันคือไม่เห็นด้วยและอยากให้รัฐบาลยกเลิกมากที่สุด
จะด้วยเหตุผลด้านการขาดทุนหรือการไร้ประสิทธิภาพของตัวนโยบายเองทำให้ IMF
ถึงกับโรงมาเตือนเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าว
ซึ่งรัฐจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญและหันมาทบทวนโครงการนี้อีกครั้ง
กล่าวโดยสรุป สภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยในปี
2556 นั้นเรียกได้ว่าลุ่มๆดอนๆ อาจเรียกว่าเป็น Mild Recession หรือถดถอยแบบไม่รุนแรงก็เป็นได้
ต้องขออธิบายว่าการส่งออกนับเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจประเทศไทยนั่นย่อมหมายถึงรายได้และสวัสดิการของประชาชนด้วย
ความกินดีอยู่ดีจะลดน้อยลงอย่างไม่ต้องสงสัยจากการที่การส่งออกติดลบ
การผลิตเพื่อส่งออกจะมีสายใย (Linkages) ที่เชื่อมไปยังภาคส่วนอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น
หากการส่งออกข้าวลดลง ชาวนาปลูกข้าวกันน้อยลง ความต้องการใช้ปุ๋ยน้อย
แรงงานอาจถูกเลิกจ้าง ก่อให้เกิดปัญหามากมายตามมา เป็นต้น
ทั้งนี้ดูเหมือนว่าผลของนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300
จะยังปรากฏปัญหาอยู่ คือผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น
บางธุรกิจใหญ่ๆถึงกับต้องย้ายโรงงานไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่กฎหมายค่าแรงต่ำกว่า
หรือหากเป็นสินค้าประเภทที่มีความยืดหยุ่นต่ำ
การขึ้นราคาสินค้าและสภาวะเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น
และสำหรับปีหน้าฟ้าใหม่นั้น สิ่งสำคัญคือสถานการณ์การเมืองจะต้องเรียบร้อยมากกว่านี้เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมา
การบริโภคภายในประเทศจะต้องกลายเป็นเสาหลักของประเทศแทนที่การส่งออกและการใช้จ่ายรัฐบาล
นอกจากนั้น ผู้ผลิตเองจะต้องมีการพัฒนาสินค้าของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ปราศจากของเสียหรือข้อผิดพลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรซึ่งอาจทำให้ประเทศคู่ค้าแบนสินค้าได้ซึ่งจะส่งผลกระทบทางลบเหมือนกรณีไก่สดกับประเทศญี่ปุ่นได้
นอจกากนั้นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยส่งเสริมภาค Agro - Industry นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรได้
เนื่องจากหากเป็นประเทศเกษตรกรรมเพียงอย่างเดียวอาจจะต้องเสี่ยงจากราคาสินค้าทางการเกษตรที่ไม่แน่ไม่นอน
การแปรรูปสามารถช่วยเพิ่มราคาผ่านมูลค่าเพิ่มได้ หากทำได้ เชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยก็ยังจะพอมีหวังอยู่บ้าง
แหล่งที่มาของข่าว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น