การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ (Environment Conservation with Economic Instruments)
วรรณพงษ์ ดุรงคเวโรจน์
นักวิจัยประจำสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง
wannaphong@fispri.org/wannaphongd@gmail.com
___________________________________________________________________________________________________________________________________
ในวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน
2557 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเข้าฟังการบรรยายในหัวข้อ
“การบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์ องค์กร กฎหมาย และเครื่องมือทางการคลัง” โดย ดร.
อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อาจารย์ประจำคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ณ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และต้องขอชมเชยผู้วิจัยเป็นอย่างมากเนื่องจากข้อมูลมีความครบถ้วนและสมบูรณ์
ในประเด็นเครื่องมือทางการคลัง (Fiscal Instrument) นั้น ได้เน้นไปที่พันธบัตรระบบนิเวศป่าไม้ (Ecosystem Bond) ที่ถูกพูดถึงในฐานะเครื่องมือแก้ไขปัญหาเรื่องงบประมาณของรัฐที่จำเป็นจะต้องจัดหาเพื่อบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์
กลไกของพันธบัตรสิ่งแวดล้อมเริ่มตั้งแต่การที่มีหน่วยงานหรือองค์กรทำการออกพันธบัตร
นอกจากนั้น ยังมีการเรียกเก็บรายได้จากผู้ที่ได้ประโยชน์จากระบบนิเวศต้นน้ำซี่งอาศัยหลักการของการจ่ายตอบแทนการบริการของระบบนิเวศ
(Payment for Ecosystem Service: PES)
และนำเงินจำนวนดังกล่าวมาจ่ายเป็นผลตอบแทน (Yield) ให้กับผู้ลงทุนในพันธบัตร
ซึ่งจะสังเกตุว่าลักษณะของการออกพันธบัตรจะคล้ายคลึงกับพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์
หากแต่กรณีของพันธบัตรป่าไม้นั้นไม่มีตลาดป่าไม้ดังเช่นตลาดหุ้น/ตลาดทุน อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการออกพันธบัตรเพื่อระดมรายได้แล้ว
ยังมีวิธีการอื่นอีกหลากหลาย เช่น การจัดตั้งกองทุนในรูปแบบมูลนิธิ หรือ
การเก็บภาษี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม
การศึกษาดังกล่าวไม่ได้พูดถึงการใช้เงินทุน/รายได้ที่ได้ด้วยวิธีการต่างๆไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพหรือเกิดประโยชน์สูงสุด
(Efficiently allocated use) จากการศึกษาเพิ่มเติมจึงขอเสนอให้จัดการเงินทุนเหล่านั้นด้วยเงินอุดหนุนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
(Environmental Subsidy)[1]
ประเด็นของเงินอุดหนุนดังกล่าวมีประเด็นสำคัญอยู่ที่องค์กรที่ระดมทุนจะมอบ
(Grant) เงินจำนวนหนึ่งให้กับบุคคลที่ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
หลักการจะคล้ายคลึงกับ PES แต่ต่างตรงที่มีผู้มอบเงินชัดเจน
เช่น หากหมู่บ้าน ก. ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ต้นน้ำสามารถจัดการไม่ให้ขยะไหลเข้ามาปะปนกับสายน้ำ หมู่บ้าน
ก. จะได้รับเงินจากองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปใช้จำนวนหนึ่ง เป็นต้น
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญคือเงินที่ให้โดยองค์กรจะต้องมากกว่าต้นทุนของหมู่บ้าน ก.
จำเป็นที่จะต้องใช้ในการป้องกันไม่ให้ชาวบ้านทิ้งขยะลงในแม่น้ำ ในบางกรณี
ต้นทุนที่แท้จริงอาจเป็นศูนย์แต่จะต้องมีการพิจารณาคือ
ต้นทุนที่ไม่อิงราคาตลาดด้วย กล่าวคือ จะต้องมีการประเมินว่า มูลค่าของที่ชาวบ้านจะไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ำมีมูลค่าเท่าไหร่?
ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะประเมิน แต่ก็มีทางแก้ไขเหมือนกัน เช่น การประเมินมูลค่าที่ไม่ผ่านตลาด[2]
(Non-market approach, non market valuation) ซึ่งประกอบด้วยวิธีการวัดความพึงพอใจเปิดเผย
(Revealed preference) และ วิธีการวัดความพึงพอใจโดยตรง (Stated
preference) เป็นต้น
ดังนั้น
สามารถสรุปเป็นแผนภาพได้ดังนี้
ที่มา: ผู้เขียน
แหล่งเงินทุน
ประกอบด้วย ผู้ลงทุนในพันธบัตรสิ่งแวดล้อม/ผู้จ่ายภาษี/ผู้ให้เปล่าในกองทุน/เรียกเก็บด้วยหลัก PES เมื่อองค์กรสามารถระดมเงินโดยอาศัยเครื่องมือทางการคลังแล้วนั้น
จะใช้เงินดังกล่าวไปใน 2 วิธี ประกอบด้วย 1) ใช้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยตรง เช่น การสร้างฝายชะลอน้ำ
การจัดจ้างเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลระบบน้ำในหมู่บ้าน เป็นต้น และ 2) การใช้เงินทุนเป็นเงินอุดหนุน โดยจ่ายไปให้กับผู้ดูแลสิ่งแวดล้อม โดยทั้ง
2 วิธีการมีเป้าหมายเดียวกัน คือ
การมีคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม
ผู้สัญญาว่าจะรักษาสิ่งแวดล้อมอาจเป็นคนเดียวกันกับผู้ลงทุนในพันธบัตรหรือผู้บริจาคเงินให้กองทุน
หรือหากเกิดมลพิษในชุมชนที่อยู่ มีความเป็นไปได้ที่จะถูกเรียกเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม
(Pigovian Tax) เช่นกัน
เอกสารประกอบเพิ่มเติม
Kete, N. (1994). Environmental policy
instrument for market and mixed-market economies.
Kodonen, K., & Nicodeme, G. (2009).
Taxation papers: The role of fiscal instruments in environmental policy.
European Commission.
Patterson, C. D. (2000). Environmental taxes
and subsidies: What is the appropriate fiscal policy for dealing with modern
environmental problem?. William & Mary Environmental Law and Policy Review,
Vol 24 (1).
Stavins, R. N. (2001). Experience with
market-based environmental policy instruments.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น