การปรับใช้แนวความคิด Offshore Assembly Provisions (OAPs) หรือ ภาษีการประกอบผลิตภัณฑ์นอกราชอาณาจักร สำหรับภาคการค้าระหว่างประเทศในประเทศไทย ในบริบทของความพึงพอใจของผู้บริโภคภายในประเทศและรายได้จากภาษีนำเข้าของรัฐบาลไทย
บทความโดย วรรณพงษ์ ดุรงคเวโรจน์
การเก็บภาษีนำเข้า (Tariff) โดยส่วนมากแล้วนั้นเป็นการตอกย้ำนโยบายการปกป้องประเทศ (Protectionist
Policy) แต่หากในส่วนของการปกป้องนั้นกลายเป็นผู้ผลิตภายในประเทศ
ไม่ใช่ผู้บริโภคแต่อย่างใด ในแต่ละประเทศนั้นภาษีนำเข้ามีความแตกต่างหลากหลาย
ทั้งนี้ในตัวอย่างของประเทศสหรัฐอเมริกาที่กำหนดภาษีนำเข้าอย่างหลากหลาย
แต่ละประเทศที่ทำการค้ากับสหรัฐอเมริกาต้องเจอกับอัตราภาษีนำเข้าที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้มีรูปแบบหนึ่งของอัตราภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกาที่น่าสนใจ เรียกว่า Offshore
Assembly Provisions (OAPs) โดยชื่อในภาษาไทยนั้น
ยังไม่มีผู้ตั้งไว้ แต่ผู้เขียนจะขอเรียกเป็น “ภาษีการประกอบผลิตภัณฑ์นอกราชอาณาจักร” โดยปกตินั้น
ภาษีนำเข้ามักเป็นเปอร์เซ็นต์จากมูลค่าของสินค้า(Ad volarem Tariffs) ซึ่ง OAPs นั้นเป็นการลดอัตราภาษีจากมูลค่าที่เกิดขึ้นในประเทศให้เหลือ
0% โดยส่วนที่เหลือที่ผลิตภายนอกประเทศนั้นจะถูกเก็บภาษีแทน
แต่การเก็บภาษีในกรณีนี้จะต้องเป็นสินค้าที่ถูกผลิตในประเทศที่ทำ OAP และนำไปประกอบในประเทศตน ซึ่งจะหมายถึงการผลิตสินค้าช่วงกลาง (Intermediate
Goods ) หรือเป็นการที่บริษัทต่างชาติ (Multinational
Enterprise) เลือกทำ Vertical Diversification หมายความว่า บริษัทจากประเทศ A เข้ามาเปิดโรงงานในประเทศ
B เพื่อผลิตสินค้าช่วงกลาง แล้วนำไปประกอบเป็นสินค้าสุดท้าย (Final
Goods) ในประเทศ A โดย OAPs เป็นแนวคิดที่ว่า ภาษีนำเข้าจะถูกเก็บจากส่วนที่เป็น “มูลค่าของต่างชาติ”
เท่านั้น จะละเว้นมูลค่าของสินค้าที่ “เกิดจากคนในประเทศ” ซึ่งก็คือประเทศที่กำหนด
OAPs นั่นเอง
ในส่วนของเนื้อหาขอแยกอธิบายเป็นส่วนของการบรรยายทั่วไป
กับ อธิบายตามหลักเศรษฐศาสตร์
1 การอธิบายด้วยหลักบรรยายทั่วไป
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท CORNELL เข้ามาผลิตยางรถยนต์ในประเทศไทย แล้วนำไปผลิตรถยนต์ในประเทศสหรัฐอเมริกา
แล้วส่งรถยนต์กลับมาขายในประเทศ ตามปกติที่เราจะกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสำหรับรถยนต์จากประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งคัน
เช่น ร้อยละ 70 จากมูลค่าสินค้านำเข้า หรือร้อยละ 70 ของมูลค่ารถยนต์ หากรถยนต์จากประเทศสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 500,000 บาท ประเทศไทยจะเก็บอัตราภาษีนำเข้า 0.7 × 500,000 = 350,000 รวมราคารถยนต์ที่ผู้บริโภคในประเทศไทยจะต้องซื้อคือ 850,000 บาท ทั้งนี้จากแนวคิดภาษีการประกอบผลิตภัณฑ์นอกราชอาณาจักร (OAPs)
ประเทศไทยจะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากประเทศสหรัฐอเมริกา “เฉพาะ”มูลค่าที่เกิดขึ้นจากต่างประเทศ
หรือเฉพาะที่เกิดในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ไม่นับรวมมูลค่าที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
พูดในนัยหนึ่งคือว่า หากมูลค่ารวมของสินค้าคือ 100 หน่วย
เกิดจากประเทศส่งออก 60 หน่วย เกิดจากประเทศนำเข้า 40
หน่วย ภาษีนำเข้าจะเก็บในส่วนของ 60 หน่วยเท่านั้น
ในกรณีรถยนต์ดังตัวอย่างข้างต้น หากยางรถยนต์มีมูลค่า 50,000
บาท อัตราภาษีร้อยละ 70 จะถูกเก็บจากฐานเหลือ (500,000
– 50,000) × 0.7 = 315,000 รวมราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเป็น 815,000
เพราะฉะนั้นจะมีราคาน้อยลงกว่าเดิมเท่านั้นส่วนของมูลค่าที่หักลบไปอันเนื่องมาจากการผลิตในประเทศนำเข้า
คือ 35,000 บาท หรือ 50,000 ×0.7 นั่นเอง หรือคิดเป็น ร้อยละ 7 ของราคาเดิม
ใครคือผู้ได้ประโยชน์?
แน่นอนว่าผู้ผลิตภายในประเทศยังคงได้รับประโยชน์จากการเก็บภาษีนำเข้าเท่าเดิม
เพราะสามารถขายสินค้าและบริการได้มากขึ้นจากการที่ราคาสินค้านำเข้าสูง ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าภายในประเทศ
ผู้ผลิตได้ประโยชน์จากการที่สามารถขายสินค้าและบริการในราคาที่สูงขึ้นได้
ทั้งนี้การที่ทำภาษีการประกอบผลิตภัณฑ์นอกราชอาณาจักร (OAPs) จะทำให้ราคาสินค้าที่เข้ามามีราคาถูกลง ผู้บริโภคย่อมได้รับประโยชน์มากขึ้นหรือเสียน้อยกว่าเดิมเพราะผู้บริโภคย่อมเสียประโยชน์อยู่แล้วจากการเก็บภาษีนำเข้า
แต่การเก็บในรูปแบบ OAPs นั้นจะเป็นการลดพื้นที่ความเสียหายของผู้บริโภค
ซึ่งดีกว่าการเก็บภาษีในรูปแบบเดิมอย่างแน่นอน
ทั้งนี้
รูปแบบภาษีการประกอบผลิตภัณฑ์นอกราชอาณาจักรจะให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากขึ้น
เมื่อมูลค่าของสินค้าที่นำเข้ามีที่มาจากสินค้าช่วงกลางที่ผลิตในประเทศไทยแล้วนำไปประกอบในต่างประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น หากรถยนต์ราคา 500,000 บาท และมีมูลค่าที่ได้จากสินค้าช่วงกลางในประเทศไทย 400,000 บาท ภาษีนำเข้าจะถูกเก็บในส่วนของมูลค่านอกประเทศเป็นจำนวน 100,000 บาท หากเก็บอัตราภาษี ร้อยละ 70 จะสามารถลดภาระภาษีที่จะตกแก่ผู้บริโภคดังนี้
ก่อนการเก็บภาษีตามรูปแบบภาษีการประกอบผลิตภัณฑ์นอกราชอาณาจักร รถยนต์มีมูลค่า
500,000 บาท ถูกเก็บภาษี ร้อยละ 70 ดังนั้น ราคาของรถยนต์ที่เข้ามาขายในประเทศไทยจะเป็น 500,000 × 1.7
= 850,000 บาท
หลังการเก็บภาษีตามรูปแบบภาษีการประกอบผลิตภัณฑ์นอกราชอาณาจักร
รถยนต์มูลค่าจากนอกประเทศเพียง 100,000 บาท (เพราะเป็นมูลค่าที่ผลิตในไทย 400,000 บาท) ถูกเก็บภาษีร้อยละ 70 ดังนั้น
ราคาของรถยนต์ที่เข้ามาขายในประเทศจะเป็น 500,000 + (100,000 × 0.7) =
570,000 บาท ซึ่งสามารถลดจำนวนเงินของผู้บริโภคได้ถึง 280,000 บาท
ผู้บริโภคในประเทศไทยย่อมมีความพึงพอใจมากขึ้นจากการบริโภคสินค้าและบริการภายใต้รูปแบบภาษีการประกอบผลิตภัณฑ์นอกราชอาณาจักรอย่างแน่นอน
ทั้งนี้
ในแง่ของรายได้รัฐบาลก็จะลดน้อยลงไปด้วยเท่ากับจำนวนภาระของผู้บริโภคที่ถูกผลักออกไป
อย่างไรก็ตาม รายได้จากภาษีนั้นนับว่าเป็นรายได้หลักของรัฐบาล
แต่การเก็บภาษีนำเข้าเพื่อนำมาเป็นรายได้นั้นนับว่าไม่นิยมและเป็นการแขวนสวัสดิการของประเทศไว้บนเส้นด้าย
เพราะหากผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแล้ว รัฐก็จะไม่ได้รายได้ด้วย
ภาษีที่รัฐควรให้ความสำคัญคือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่สามารถเก็บได้จากเงินเดือนของประชาชนทั่วไป
มีความแน่นอนกว่า มีความเป็นสากลกว่า และมีประสิทธิภาพมากว่าตรงตามลักษณะรูปแบบภาษีที่ดีอันนำมาซึ่งหลักประกันสวัสดิการของประเทศ
โดยในปัจจุบันคนไทยเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพียง 2 ล้านกว่าคน เงินในส่วนนี้มาจากประชาชนคิดเป็นร้อยละ 3
จากประชากรทั้งนั้น เงินจากประชาชนร้อยละ 3 ต้องนำไปเลี้ยงประชาชน
67 ล้านคน คำถามคือ จะพอไหม? แล้วถ้าไม่พอ รัฐจะทำอย่างไร?
กู้ต่างประเทศแล้วให้คนรุ่นถัดมาแบกรับภาษีการใช้คืนในรูปของดอกเบี้ยอย่างนั้นหรือ?
ความสมดุลของรายได้และรายจ่ายรัฐบาลถือว่าเป็นส่วนที่รัฐควรให้ความสำคัญมากที่สุดเพื่อป้องกันปัญหาทางเศรษฐกิจที่จะต้องเผชิญในอนาคตสืบเนื่องจากโลกทุนนิยมที่ไม่แน่ไม่นอนและผันแปรอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
2.
การอธิบายด้วยหลักเศรษฐศาสตร์
สมมุติฐาน
1.
สมมติว่าโลกประกอบด้วย
2 ประเทศ ประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก
(Small Country) หมายความว่า
ประเทศไทยไม่มีอำนาจในการขึ้นหรือลดราคาสินค้าในตลาดโลกได้
หากราคาในตลาดโลกเท่ากับ x บาทต่อหน่วย
ผู้บริโภคในประเทศย่อมต้องยอมรับราคา x บาท ต่อหน่วย ดังนั้น
จึงเห็นเส้น Supply ของสินค้าเป็นเส้น Horizontal แสดงระดับราคาคงที่ ณ หน่วยบริโภคใดใด
2. ประเทศไทย เป็นประเทศแรงงานสมบูรณ์
ตามทฤษฏีเฮคเชอร์โอลิน (Heckscher Ohlin Theory) ประเทศไทยควรส่งออกสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น และนำเข้าสินค้าทุนเข้มข้น
ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศทุนสมบูรณ์ ตามทฤษฏีเฮคเชอร์โอลิน(Heckscher
Ohlin Theory)
ประเทศสหรัฐอเมริกาควรส่งออกสินค้าที่ใช้ทุนเข้มข้นและนำเข้าสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้ม
3.
พิจารณาสินค้าทุนเข้มข้นคือรถยนต์
ประเทศไทยนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา
สถานการณ์
1. กรณีเกิดการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่ปลอดภาษีนำเข้า ประเทศไทยนำเข้ารถยนต์จากประเทศสหรัฐอเมริกา
จุดดุลยภาพของตลาดอยู่ที่ จุด g โดยผู้บริโภค
บริโภครถยนต์ 18 คัน ผู้ผลิต ผลิตภายในประเทศ 6 คัน ดังนั้นนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา12 คัน ส่วนเกินผู้บริโภค
(Consumer Surplus) เท่ากับ พื้นที่สามเหลี่ยม agm และส่วนเกินผู้ผลิต (Producer Surplus) เท่ากับพื้นที่สามเหลี่ยม
mfh 2. หากประเทศไทยเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 70 ของมูลค่าสินค้าเพื่อปกป้องผู้ผลิต(Protectionist Policy) ดังนั้น ราคารถยนต์รวมภาษีนำเข้าคือ 850,000 บาท และเส้น
Supply กลายเป็นเส้นสีเทา (Traditional Tariff) จุดดุลยภาพอยู่ที่จุด b ณ ระดับราคาดังกล่าว จาก Law
of Demand ผู้บริโภคลดการบริโภครถยนต์ลงเหลือ 14 คัน ผู้ผลิต เมื่อเห็นระดับราคาสูงขึ้น
ความต้องการขายจึงเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10 คัน และนำเข้าลดลงเหลือเพียง
4 คัน อย่างไรก็ตาม จากการเก็บภาษีนำเข้า
ทำให้ส่วนเกินผู้บริโภคลดลงเหลือพื้นที่สามเหลี่ยม abc และส่วนเกินผู้ผลิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่พื้นที่สามเหลี่ยม
hvc การเก็บภาษีดังกล่าว ทำให้เกิดเงื่อนไขการพิจารณาดังนี้
คือ ส่วนของส่วนเกินผู้บริโภคที่เสียไป หรือพื้นที่ห้าเหลี่ยม cbgm โดยพื้นที่ cvfm ถูกย้ายไปให้กับผู้ผลิต พื้นที่ vbyk
เป็นส่วนของรายได้ของรัฐบาลจากการเก็บภาษี ส่วนที่เหลือคือ Deadweight
Loss อันเกิดมาจากการบริโภคและการผลิตที่ไม่มีประสิทธิภาพ ได้แก่พื้นที่สามเหลี่ยม
vkf เกิดจากการผลิตที่ไม่มีประสิทธิภาพ
เพราะผู้ผลิตในประเทศแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าผู้ผลิตต่างประเทศ
หมายความว่าผลิตในประเทศแทนที่จะนำเข้า สังเกตจากเส้น Domestic Supply หรือ S(d) ที่สูงกว่า เส้น Horizontal Supply
ณ ปริมาณ 6 – 10 และพื้นที่สามเหลี่ยม
bgy เกิดจากการบริโภคที่ไม่มีประสิทธิภาพ
เนื่องจากผู้บริโภคให้คุณค่าของสินค้าในช่วง 14 -18
มากกว่าราคาหรือการผลิต เทียบจากความสูงของเส้นอุปสงค์ D(d)
สูงกว่าเส้น Supply ของปริมาณโลก ดังนั้นจะเห็นว่าพื้นที่ Deadweight
loss รวมทั้งจากผู้ผลิตและผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ(0.5×350,000×4)+(0.5×4×50,000)=1,400,000 จากส่วนของส่วนเกินผู้บริโภค
(Consumer Surplus) ทั้งหมดเท่ากับพื้นที่ห้าเหลี่ยม ebgm ซึ่งมีค่าเท่ากับ
0.5×350,000×(14+18)=5,600,000 โดยรัฐบาลได้ไป(18-14)×350,000=1,400,000 และถูกโอนย้ายไปให้ผู้ผลิต ซึ่งมีค่าเท่ากับห้าเหลี่ยม cvfm หรือ 0.5×350,000×(6+10)=2,800,000
ส่วนเกินผู้บริโภคที่เสียไป
= ส่วนเกินผู้ผลิต + รายได้รัฐจากภาษี
+ Deadweight Loss
5,600,000
= 2,800,000 + 1,400,000 +
1,400,000
3. หากประเทศใช้ระบบภาษีการประกอบผลิตภัณฑ์นอกราชอาณาจักร
(OAPs) รถยนต์ที่นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนส่วนใหญ่ในประเทศไทยและนำไปประกอบ
ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีมูลค่าจากจากประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 100,000 บาท (เพราะเป็นมูลค่าที่ผลิตในไทย 400,000 บาท) ดังนั้นจะถูกเก็บภาษีร้อยละ 70 เฉพาะในส่วนของมูลค่าของภายนอกประเทศ ดังนั้น ราคาของรถยนต์ที่เข้ามาขายในประเทศจะเป็น
500,000 + (100,000 × 0.7) = 570,000 บาท ซึ่งสามารถลดจำนวนเงินของผู้บริโภคได้ถึง
280,000 บาท โดยเส้น Supply World จะมาเป็นเส้นสีเหลือง
(Offshore Assembly Provision) โดยจุดดุลยภาพจะอยู่ที่จุด d ณ จุดดังกล่าว จะมีการบริโภคทั้งสิ้น 16 คัน
ผลิตภายในประเทศคือ 8 คัน และนำเข้าทั้งสิ้น 8 คัน จากการเก็บภาษีแบบ OAPs ส่วนเกินผู้บริโภคคือพื้นที่สามเหลี่ยม
adi และส่วนเกินผู้ผลิตคือสามเหลี่ยม hei รายได้ของรัฐบาลคือสี่เหลี่ยม edxp
พื้นที่ Deadweight loss คือพื้นที่สามเหลี่ยม
fep ซึ่งเกิดจากการบริโภคที่ไม่มีประสิทธิภาพ และพื้นที่สามเหลี่ยม
dgx ซึ่งเกิดจากการบริโภคที่ไร้ประสิทธิภาพ โดยพื้นที่ของส่วนเกินผู้บริโภคที่เสียไป(เทียบกับก่อนเก็บภาษีนำเข้า) คือ พื้นที่ห้าเหลี่ยม idgm
ซึ่งมีพื้นที่เท่ากับ 0.5×70,000×(16+18)=1,190,000 ถูกย้ายไปให้ส่วนเกินผู้ผลิต(iefm) จำนวน 0.5×70,000×(6+8)=490,000
รายได้ของรัฐบาลคือ70,000×(16-8)=560,000 และ Deadweight loss คือ (0.5×70,000×2)+(0.5×70,000×2)=140,000
ส่วนเกินผู้บริโภคที่เสียไป
= ส่วนเกินผู้ผลิต + รายได้รัฐจากภาษี
+ Deadweight Loss
1,190,000 = 490,000 + 560,000 + 140,000
เปรียบเทียบ 2 รูปแบบระหว่าง Traditional Tariff กับ OAPs
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
|
พื้นที่TT
|
พื้นที่ OAPS
|
มูลค่า TT
|
มูลค่า OAPs
|
ส่วนเกินผู้บริโภค
|
(-)
cbgm
|
(-)
idgm
|
(-) 5,600,000
|
(-)
1,190,000
|
ส่วนเกินผู้ผลิต
|
(+)
cvfm
|
(+)
iefm
|
(+)
2,800,000
|
(+)
490,000
|
รายได้รัฐบาล
|
(+)
vbyk
|
(+)
edxp
|
(+)
1,400,000
|
(+)
560,000
|
Deadweight
Loss
|
(-)
vkf+bgy
|
(-)
fep+dgx
|
(-)
1,400,000
|
(-)
140,000
|
จากกราฟ
จะเห็นอย่างชัดเจนว่า ส่วนเกินผู้บริโภคที่เสียไปนั้นลดน้อยลง
ส่วนเกินผู้ผลิตที่เสียไปลดน้อยลงเช่นกัน และรวมถึงรายได้ของรัฐและพื้นที่ deadweight
loss หรือการเสียเปล่าจากนโยบายก็ลดลงเช่นกัน
ดังนั้น OAPs จึงเข้ามาอุดช่องว่างของ Traditional
Tariff โดยช่วยให้ความสูญเสียที่เกิดจากภาษีนำเข้า
อีกทั้งยังเป็นการให้ความสำคัญกับมูลค่าของสินค้าที่เกิดภายในประเทศและถูกนำเข้าใหม่ (Re-enter) โดยประเทศที่เข้ามาสร้างฐานการผลิต และโดยสวัสดิการโดยรวมของประเทศย่อมสูงขึ้นเช่นกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น