ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ 2019 กับข้อจำกัดของ RCTs

วรรณพงษ์ ดุรงคเวโรจน์ PhD Candidate, Australian National University Photo: Ill. Niklas Elmehed. © Nobel Media. ประกาศกันไปแล้ว สำหรับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี 2019 ได้แก่ Professor Abhijit Banerjee (MIT), Professor Esther Duflo (MIT), Professor Michael Kremer (Harvard University) สำหรับการวิจัยเชิงทดลอง (experimental approach) ที่ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน โดยความพิเศษของปีนี้คือ Duflo ถือเป็น (1) นักเศรษฐศาสตร์ที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รางวัลดังกล่าว มีอายุเพียง 46 ปีเท่านั้น (เจ้าของสถิติเดิม คือ Kenneth Arrow ได้รางวัลตอนอายุ 51 ปี เมื่อปี 1972) และ (2) นักเศรษฐศาสตร์ผู้หญิงคนที่สองที่ได้รางวัลโนเบล ต่อจาก Elinor Ostrom ที่ได้รับรางวัลเมื่อปี 2009 ซึ่งศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์การพัฒนา ทั้ง 3 ท่าน ถือว่า เป็นผู้บุกเบิกการนำเอาเครื่องมือที่ใช้ในวงการแพทย์อย่าง Randomized Controlled Trials (RCTs) มาประยุกต์ใช้กับงานทางด้านเศรษฐศาสตร์ สำหรับ Banerjee และ Duflo นั้น หลายคนอาจจะรู้จักในฐานะผู้เขียนหนังสือชื่อดังอย่าง "Poor Economics" ซึ่ง
โพสต์ล่าสุด

รีวิวรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-เซี้ยงไฮ้ ชั้น First Class: บทเรียนจากจีนสู่ไทย

วรรณพงษ์ ดุรงคเวโรจน์ อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์การพัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผมมีโอกาสได้ไปทำวิจัยเรื่องศักยภาพสินค้าไก่ระหว่างไทย-จีน ณ ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 9 - 14 พฤษภาคม 2560 และได้มีโอกาสนั่งรถไฟความเร็วสูง (High-speed Train/Bullet Train) เส้นทางปักกิ่ง (Beijing) ไปเซี้ยงไฮ้ (Shanghai) จึงมารีวิวและเขียนข้อเสนอแนะเพิ่มเติมครับ รถไฟความเร็วสูงของจีน (High-speed rail; HSR) บริหารโดยรัฐวิสาหกิจที่มีชื่อว่า China Railway Corporation (คงคล้ายๆ กับรฟท.ของไทย) ได้ชื่อว่ามีโครงข่ายที่ยาวที่สุดในโลก (เพราะอาณาเขตพื้นที่ของจีนนั้นยิ่งใหญ่มหาศาลเหลือเกิน) มีเส้นทางรวมกันกว่า 22,000 กิโลเมตร และมีโครงการที่ขยายเส้นทางให้ครอบคลุมถึง 38,000 กิโลเมตรในอนาคต รถไฟความเร็วสูงของจีนเริ่มต้นให้บริการในปี พ.ศ. 2550 โดยมียอดการใช้บริการมากกว่า 1 พันล้านคนต่อปี เส้นทางของรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-เซี้ยงไฮ้อยู่ที่ 1,318 กิโลเมตร เทียบได้กับเชียงใหม่-สุราษฏร์ธานี โดยให้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 (เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2551) โดยเส้นทางดังกล่าวถือเป็นเส้นทางที่สร้างกำไรให้กั

หนังสือเล่มแรกในชีวิต "เจาะประเด็นเด่น เศรษฐกิจไทย"

จากที่ผมได้ทำบล็อคนี้ขึ้นมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ในระดับป.ตรี ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนนั้นผมได้เรียนวิชา Public Finance อาจารย์ก็จะมี paper ให้ทำเป็นประจำ ด้วยความเสียดาย จึงอยากเผยแพร่เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับคนที่สนใจ แล้วก็พบว่าการทำบล็อคเนี่ยแหละ เหมาะสมที่สุด เพราะทำง่าย เข้าถึงง่าย และไม่เสียเงิน  กว่า 5 ปี มาแล้ว ที่ได้ทำบล็อค ด้วยความเป็นคนชอบเขียน ชอบอ่าน ตั้งแต่เด็กๆ อ่านทุกแนว ตั้งแต่นิยาย สารคดี ไปจนถึง how to พัฒนาตัวเองต่างๆ ความฝันสูงสุด นอกเหนือจากการเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ก็คือ การได้เห็นหนังสือของเรา วางขายในร้านหนังสือบ้าง  จนกระทั่งวันนี้ ผมได้ใช้วิชาความรู้ที่ได้เรียนมา บวกกับประสบการณ์การทำงานจากสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง และมหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดทำหนังสือชื่อ "เจาะประเด็นเด่น เศรษฐกิจไทย" สำนักพิมพ์ซีเอ็ด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยในหลายๆ ด้าน โดยใช้ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาช่วย  เนื้อหาแบ่งออกเป็น 13 บท ดังนี้ บทที่ 1 หนี้เกษตรกรไทย บทที่ 1 หนี้เกษตรกรและการแก้

นโยบายแจกเงิน 3,000 บาท จน-ไม่แจก แจก-คนไม่จน

"จน - ไม่แจก แจก - คนไม่จน" วรรณพงษ์ ดุรงคเวโรจน์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง Photo Source: http://www.abc.net.au/religion/articles/2014/02/10/3941760.htm                 จากการที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 เห็นชอบมาตรการการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยใช้งบประมาณ 12,750 ล้านบาท ซึ่งเป็นการจ่ายให้กับกลุ่มคนจนในเมือง และเมื่อรวมกับมติครม. เมื่อ 27 กันยายน 2559 ที่อนุมัติงบ 6,540 ล้านบาท สำหรับแจกเกษตรกร รวม 2 โครงการ ใช้งบประมาณทั้งสิ้นกว่า 20,000 ล้านบาท                 สำหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินทั้งกลุ่มเกษตรกร และกลุ่มคนจนในเมือง พบว่ามีเกณฑ์เดียวกันคือ หากมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี รับเงิน 3,000 บาท และหากมีรายได้ตั้งแต่ 30,000 แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี รับเงิน 1,500 บาท นโยบายแจกเงินนี้ไม่ใช่นโยบายใหม่ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2552 ภายใต้รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ได้มีการแจกเงินเช่นเดียวกันในชื่อ "เช็คช่วยชาติ" จำนวน 2,000 บาท สำหรับ